เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๔ มิ.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

นี้พูดถึง เห็นไหม ดูกิเลสของคนสิ เรามาวัดมาวากันนี่ เรามาเพื่อปฏิบัติธรรมนะ เรามาปฏิบัติธรรม คำว่าปฏิบัติธรรม สัจจะ อริยสัจจะ.. อริยสัจจะมันเป็นความจริง แล้วเราเอาความปลอม เอาความโกหกมดเท็จไปแสวงหาอริยสัจ มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

สิ่งที่เป็นความจริง เห็นไหม เวลาเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นความจริงอันหนึ่ง เราก็ว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย ใครๆ ก็รู้ สิ่งนี้ทุกคนก็รู้ ทุกคนก็เห็นนะ นี่สรรพสิ่งก็ไม่ใช่ของเรา อะไรก็ไม่ใช่ของเรา ชีวิตก็ไม่ใช่ของเรา แต่ทำไมมันทุกข์ล่ะ? ไม่ใช่ของเราแล้วเราเอาตัวออกของเราได้อย่างไร? เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะเราเคยชินกับมัน ไปคุ้นชินกับมัน

นี่ความดีจริงๆ ความดีคืออะไร? ความดีคือความดีสิ นี้ความดีต้องการให้คนรับว่าเป็นความดี ความดี เห็นไหม ความดีหน้าไหว้หลังหลอก นี่ดีแต่เปลือก แต่หัวใจมันไม่เป็นความจริง ถ้าหัวใจเป็นความจริง สัจจะมันต้องมีสิ ศีล สมาธิ ปัญญา.. ศีลนี่ ถ้าศีลมันไม่มี ทำไมพระเรา ดูสิต่อหน้าโยมทำไมอดอาหารกัน ทำไมผ่อนอาหารกัน ของมาซึ่งๆ หน้าแต่ทำไมไม่ตักใส่บาตร ทำไมไม่ฉันให้อิ่มหมีพลีมัน

อิ่มหมีพลีมันก็ไปนอนเป็นหมูไง มันอิ่มปากอิ่มท้อง แต่ธาตุขันธ์ ไขมันมันทับร่างกาย แล้วนี่ดูสิข่าวสารที่เอามา เห็นไหม ข่าวสารมันเป็นประโยชน์กับทางโลกนะ แต่มันไม่เป็นประโยชน์กับการประพฤติปฏิบัติ ดูสิดูเขานินทาเรา พอบอกคนนี้เขาด่าเรา โอ้โฮ.. ขึ้นเป็นไฟเลย แล้วเป็นไฟมาจากไหน โอ้โฮ.. เขาด่าเราตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อวานซืน ตั้งแต่เดือนที่แล้ว ตั้งแต่ปีที่แล้ว พอเรารู้มันเป็นไฟขึ้นมา เห็นไหม มันมากระตุ้นกิเลสเราไง มันถึงอายตนะ อินทรีย์นี่สัมโภชฌงค์ สำรวมระวังทั้งหมดเลย แล้วเราจะมาสำรวมระวังเพื่อจะมาเอาจิตใจของเรา ถ้าเราจะมาเอาจิตใจของเรา เราจะไปเอาข้อมูลข่าวสาร เอาสิ่งรับรู้ข้างนอกมาทำไม?

“รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร”

ถ้าเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร แล้วเราไปแสวงหามันทำไม นี่เราไม่แสวงหาแต่เราสร้างวัด เห็นไหม เราบอกเราสร้างวัด ทุกคนบอกนี่เราสร้างวัด วัดสร้างมาทำไม? เพราะว่าวัดทั่วไป วัดร้างเยอะแยะไปหมดเลย วัดที่ไหนก็ร้าง ไม่มีพระอยู่เลยสร้างวัดทำไม?

นี่การสร้างวัดของเรา เห็นไหม เราสร้างขึ้นมานี่มันเป็นรวงรังของนก ของที่พึ่งอาศัย ถ้าเราจะฝึกคนขึ้นมา แต่เราไม่มีสนามฝึกซ้อม เราไม่มีที่ฝึกเขา เราจะไปฝึกที่ไหน? อ้าว.. แล้วรวงรังเก่ามันมีทำไมมันไม่ไปเอารวงรังเก่าล่ะ? รวงรังเก่านี่ เอารวงรังเก่าไว้มันมีเจ้าของ มันมียักษ์มีมารปกครองอยู่ ถ้าเราเข้าไปแล้ว เราจะประพฤติปฏิบัติตามกระแสธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย

โลกเป็นใหญ่! โลกเป็นใหญ่ต้องลูบหน้าปะจมูก ต้องมีลับลมคมใน ต้องมีสิ่งต่างๆ เห็นไหม ถ้าเราจะไปทำตามสัจจะ ทำตามความเป็นจริง มันก็ไปเกินหน้าเกินตาเขาอีก เรามาอยู่โพธารามปีแรกนี่พระก็ถาม

“สร้างวัดทำไม? ทำไมไม่ไปอยู่กับเขา”

เราบอก “อยู่กับเขาก็ได้ จริงหรือเปล่าที่ให้ไปอยู่กับเขา ให้ฉันมื้อเดียว ให้ถือธุดงควัตร”

เขาก็ให้ทำ ให้ทำวันสองวัน ให้ทำเสร็จแล้วเขาก็จะกลืนจะกินไป ถ้าจิตใจเราไม่เข้มแข็งนะ เราจะยืนอยู่ในสังคมไม่ได้หรอก กระแสสังคมมันกลืนกินไปหมด เห็นไหม หลวงตาท่านบอกเลย

“ท่านสอนพระเป็นแสนนะ แล้วมันหายไปไหนหมด”

สังคมมันกลืนกินไปหมดไง โลกมันกลืนกินไปหมด แล้วพอเราจะทำขึ้นมานี่ อู้ฮู.. อย่างนี้เป็นทิฐิมานะ นี้เป็นกิเลส.. มันไม่ใช่กิเลสหรอก มันเป็นสัมมาทิฏฐิ ทิฐิที่ดีงาม ทิฐิที่ถูกต้องมันมีใช่ไหม? ความถูกต้อง ความดีงามมันมี เราต้องยืนหลักความถูกต้อง ถ้าความถูกต้องมีเราต้องยืนให้ได้ นี่ถ้ามันเป็นการลูบหน้าปะจมูก ความดีอะไร? ความดีของใคร?

ถ้าความดีจริง เห็นไหม ถ้าความดีจริงเราต้องดีก่อน มือต้องสะอาดก่อน ถ้ามือไม่สะอาด นี่ที่ปฏิบัติกันอยู่ปัจจุบันนี้ ดูสิเขาบอกว่าเราสอนผิดๆ ใช่! เพราะเราสอนกับสังคมที่มันถือกันอยู่ มันแตกต่างกัน ถ้าไม่เราผิดก็ต้องเขาผิด เขาว่าเราสอนผิด แต่เราก็ว่าเขาสอนผิด

ดูสิเวลาเขาปฏิบัตินี่ลัดสั้นๆ เห็นไหม ดูสิของมหายานเขา เวลาไปนิพพานก็มีสุขาวดี สูงกว่านิพพาน เวลาพระอรหันต์ของเขานะ เป็นพระอรหันต์แล้วนะยังกลับมาเกิดอีกได้ มหายานสอนอย่างนั้นนะ เป็นพระอรหันต์จะกลับมาเกิดอีกก็ได้ จะไม่กลับมาเกิดอีกก็ได้ เป็นพระอรหันต์ของเขา แล้วเขาบอกลัดสั้นๆ เห็นไหม นี่เราไปตื่นเต้นไปกับเขา เราบอกใครสอนผิดๆ

พระอรหันต์กลับมาเกิดได้อีกไหม? พระอรหันต์จะไม่เกิดอีกก็ได้ใช่ไหม? พระอรหันต์กลับมาเกิดอีกก็ได้ พระอรหันต์จะกลับมารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็ได้ นี่คือความเห็นของมหายานเขานะ แล้วเราบอกลัดสั้นๆ

นี่นิพพาน นิพพานของใคร? นิพพานของคนมีกิเลสใช่ไหม? กับนิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานคือสิ้นจากกิเลส กลับมาเกิดอีกไม่ได้ กลับมาเกิดไม่ได้เพราะมันไม่มีเชื้อไข แล้วถ้ามันมีเชื้อไขอยู่ นิพพานมีเชื้อไขอยู่ยังกลับมาเกิด แล้วเป็นนิพพานได้อย่างไร?

นี่ไงเขาว่าสอนผิดๆ ใครสอนผิด! คำว่าสอนผิดนี่ใครสอนผิด คำสอนของใคร? คำสอนของใครนี่มันเอาอะไรเป็นหลักฐาน เอาอะไรเป็นเครื่องยืนยัน นี่เวลาคนมาถามเราถึงบอกว่า

“เรากล้ายืนยันว่าคนที่เขาสอนนี่เขารู้”

อย่างเราทำผิดทำถูก เรารู้อยู่แก่ใจนะ เราจะรู้อยู่แก่ใจ ความผิดนะถ้ากิเลสมันยังมีอยู่ มันเฉา มันเหงา มันหงอย มันมีของมัน มันต้องดิ้นของมัน แล้วเวลาสอนออกไปเขาก็รู้ๆ อยู่ แต่มันขี่หลังเสือ พอขี่หลังเสือไปนี่ มันเอาเหตุเอาผลมาคุยกันสิว่ามันผิดมันถูกตรงไหน? ถ้าเขาคุยกันด้วยเหตุผล แต่นี้ไม่พูดอย่างนั้น พูดว่าใช้อารมณ์ ใช้ความรู้สึก อารมณ์ที่รุนแรง

คำว่ารุนแรงนะ หลวงปู่มั่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดประจำ เวลาไล่ภิกษุชาววัชชี เห็นไหม นี่จะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมาถึงมาจัดที่นอนกัน มาถึงตรงกุฏิมาจัดที่เสียงดังกัน ในสมัยนั้นพระนาคิตะเป็นผู้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ พระอานนท์ยังไม่ได้อุปัฏฐาก

“นาคิตะ นั่นใคร? เหมือนชาวประมงเขามาหาปลากัน”

คือภิกษุส่งเสียงดัง เวลาอยู่ที่อยู่อาศัยนี่ส่งเสียงดัง ท่านบอกว่า

“เหมือนกับชาวประมงเขาหาปลากัน ไล่ออกไป”

พระพุทธเจ้าให้ไล่ออกไป เห็นไหม จนพระนาคิตะก็ไปไล่ออกไป พอไล่ออกไป ตกคืนนั้นสอนเทวดา เทวดาบอกเลย บอกว่า “นี่ภิกษุใหม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไล่ออกไปเขายังไม่เข้าใจ” ก็ไปเรียกกลับมาเทศน์ถึงเป็นพระอรหันต์หมด เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ถ้าทำผิดท่านก็ลงโทษ ท่านกระหนาบนะ นี่ไม่ใช่ว่าพระอรหันต์มันจะเปิดกว้าง ใครจะเหยียบหัว อ้าว.. เหยียบหัว ตีนซ้ายก็เหยียบ ตีนขวาอีกตีนหนึ่งจะเป็นพระอรหันต์ มันไม่ใช่! พระอรหันต์นี่ผิดถูกต้องชี้ ถ้าผิดก็ว่าผิด ถูกก็ต้องถูก ชี้ตามนั้น ถ้ามันผิดขึ้นไป ผลของการผิด เริ่มต้นผิด เห็นไหม หลวงปู่มั่นบอกว่า

“ต้นคดปลายตรงไม่มี”

ต้นคำปลายตรงไม่มี เห็นไหม เมื่อ ๒ วันนี้เขามาถาม เพราะเราพูดในซีดีไปบอกการประพฤติปฏิบัตินี้ผิดทั้งหมด เขาฟังแล้วเขางงหมดเลย ผิดทั้งหมดเลย แล้วพอไปเฉลยขึ้นมา การประพฤติปฏิบัตินะถูกต้อง นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ทั้งนั้นแหละ แต่เราประพฤติปฏิบัติ เรามีกิเลสทั้งนั้นแหละ

คนที่มีกิเลสอยู่ ปฏิบัติให้ถูกต้องเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เลย แต่เวลาปฏิบัติขึ้นไปแล้วถึงพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ความถูกต้องมันเริ่มมีมากขึ้นๆ จนถึงที่สุดนั่นล่ะความถูกต้อง ความถูกต้องมันอยู่ที่นั่น แต่ในการปฏิบัติของเรามันผิดหมด ทีนี้คำว่าผิดหมด ผิดหมดที่ไหน? ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริงใช่ไหม? แต่กิเลสเป็นของเราใช่ไหม? แล้วเราไปจำธรรมนั้นมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ เราก๊อบปี้มานี่มันเป็นความสะอาดหรือยัง?

อย่างเช่นพ่อแม่หาเงินมาด้วยน้ำพักน้ำแรงใช่ไหม? ลูกมันแบมือขอมา นี่พ่อแม่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ของเราได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงใช่ไหม ลูกเต้ามันขอเอาๆ การขอเอา กับการได้เงินมาของพ่อแม่มันต่างกัน การได้เงินของพ่อแม่อย่างหนึ่ง การได้เงินของลูกอย่างหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน พอเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เราบอกเงินเหมือนกัน.. ใช่เงินเหมือนกัน เงินของพ่อแม่คือพ่อแม่หามาด้วยหยาดเหงื่อ เงินของลูกคือแบมือขอมา พอเราเกิดมาเราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า นี่ก็เงินเหมือนกัน แบงก์เหมือนกัน ตังค์เหมือนกัน เขาว่าเหมือนกัน แต่ได้มาอย่างไร? คนหนึ่งได้มาด้วยอาบเหงื่อต่างน้ำถึงได้เงินมา อีกคนหนึ่งแบมือขอ นี่ก็เหมือนกัน มาศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้านี่สะอาดบริสุทธิ์นะ ปฏิบัติต้องสะอาดบริสุทธิ์ สะอาดบริสุทธิ์ นี่เงินเหมือนกันๆ ก็แบมือขอ มันไม่ใช่หามา มันไม่เป็นความจริงหรอก

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธ สิ่งนี้มันจะเหมือนกัน มันเป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้แต่ว่ามันเป็นไป คำว่าเป็นไปไม่ได้นะมันมีสอง สองหมายถึงว่า ศึกษาธรรมมา ธรรมเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่กิเลสของเรา มันขัดแย้งกันในใจของเราอยู่แล้ว พอมันขัดแย้งแล้วเราแสดงธรรมออกไปนี่มันเกิด เห็นไหม

นี่ที่ว่าเรามั่นใจว่าคนที่ผิดต้องรู้ว่าผิด เขารู้อยู่ว่าผิด รู้อยู่เด็ดขาด! ถ้ารู้ว่าผิดนะ นี่คนไม่รู้จริงพูดออกไปมันขัดแย้งกัน เพราะกิเลสของเรา กับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ากันไม่ได้หรอก ดูสิเราเป็นลูก เราแบมือขอเงินพ่อแม่มา เราใช้หมดแล้วเราจะเอาที่ไหน แล้วต่อไปเราจะเอาที่ไหนมาใช้ ถ้าไม่มีพ่อแม่คอยเจือจานอยู่ตลอดเราจะเอาที่ไหนมาใช้ แต่ถ้าเราอาบเหงื่อต่างน้ำ เราหาของเราเอง เราจะหาได้ตลอดไปใช่ไหม เงินเราจะหาได้ตลอดไป

ธรรมก็เหมือนกัน ธรรมถ้าเป็นความจริงในใจ มันไม่มีกิเลสในหัวใจ มันทำเมื่อไหร่ก็ได้ นี่น้ำอมตธรรม ใจของธรรม ใจของครูบาอาจารย์เราที่เป็นพระอรหันต์นะ จิตใจนี้มันเหมือนบ่อน้ำทิพย์ มันใช้ไม่มีวันหมดหรอก มันพูดได้ทั้งปีทั้งชาติ พูดกี่ปีกี่ชาติธรรมะไหลไม่มีวันจบหรอก แต่ถ้าเราไปจำมา เราไปขอมา เราขอของพ่อแม่ไง เงินหมดแล้วจะเอาที่ไหน? พอเอาไม่ได้ก็ฉ้อฉล ฉ้อฉล ต้องหาทางเอาเงินมาจนได้ หาเงินมาใช้ให้ได้ พอฉ้อฉลขึ้นมา นี่ไงมหาโจร!

สิ่งที่เป็นมหาโจร นี่คำว่าสอนผิด ใครมันสอนผิด? ใครสอนผิดมันรู้อยู่กับใจ แต่พวกเรามันเป็นคนมืดบอดไง เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ เราจะไม่รู้หรอกว่าใครถูกใครผิด เพราะอะไร? เพราะคำพูดเหมือนกันไง เวลาผู้ที่รู้จริง คำพูดมันก็เป็นสมมุติ พูดมาจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ เวลาเขาไปศึกษาพระไตรปิฎกมาเขาก็พูดธรรมของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่รสชาติมันต่างกันนะ แต่เราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ

มันต้องรู้จริงเห็นจริง มันถึงจะเป็นสัจจะความจริง ถ้ามันไม่เป็นสัจจะความจริง ความปลอมในใจมันแสดงออกมาจากความจริงนั้นล่ะ ในมุตโตทัยของหลวงปู่มั่น เห็นไหม

“ธรรมนี้สถิตในหัวใจของใคร?”

“สถิตในหัวใจของปุถุชน”

นี่มันเป็นสมมุติทั้งหมด มันเป็นกิเลสทั้งหมดเลย ถ้าสถิตในใจของพระโสดาบัน เห็นไหม สะอาด ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าสถิตในใจของพระสกิทาคามี สะอาด ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าสถิตในใจของพระอนาคามี สะอาด ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าสถิตในใจของพระอรหันต์ นี่ทองคำอันนั้นสะอาดบริสุทธิ์ แล้วเรารู้ได้อย่างไรเพราะคำพูดมันเหมือนกัน แต่ผู้ที่ปฏิบัติรู้ได้ รู้ได้เพราะอะไร?

ดูสิเราทำธุรกิจ เราหาเงินหาทอง กว่าเราจะทำเริ่มต้นมันต้องมีสินค้า มันต้องมีธุรกรรม มันต้องมีต่างๆ มันต้องมีการวางบิล มันต้องเก็บเงิน กว่ามันจะได้ตังค์มามันไม่ใช่ของง่ายๆ หรอก แล้วได้ตังค์มานี่กำไรหรือขาดทุนยังไม่รู้เลย ปฏิบัติไปจิตมันสงบจริงไหม? ถ้าจิตสงบไม่จริง ว่างๆ ว่างๆ พอว่างๆ ขึ้นมานี่เราว่างๆ กันนะ เราก็อ้างพระไตรปิฎกใช่ไหม? ธรรมะพระพุทธเจ้าบอกว่าง ปล่อยวาง เราก็ว่างของเรา แต่ว่างนี่มันว่างแบบปฏิเสธ

ดูสิเราดำน้ำลงไปเราไม่มีอะไรเลย แต่เราอยู่ในใต้น้ำนั้นนะ เวลาเราว่าง กิเลสมันอยู่ในใจเรานะ มันมีอยู่ทั้งนั้นแหละ เราหามันไม่เจอ เห็นไหม แต่พอเราขึ้นมาจากน้ำ เราทำตัวเราสะอาดบริสุทธิ์ เราแก้ไขของเรา นั่นความว่างที่เรารู้ ที่เราสัมผัส.. จิตถ้าสงบไป ว่างๆ มันมีเจ้าของ มีผู้สัมผัส มีผู้กระทำ มีสติ มีปัญญา มันพูดอย่างนั้นไม่ได้หรอก

เหมือนพ่อแม่ที่ทำมาหากินมา กว่าจะได้เงินได้ทองมา บอกว่าเงินนี้ลอยมาจากฟ้า เงินนี้ไปล้วงกระเป๋าใครมาก็ได้ มันเป็นความจริงไปได้อย่างไร? แต่เด็กมันพูดอย่างนั้น มันขอพ่อแม่ไม่ได้ มันก็หยิบฉวยเอาในกระเป๋านั้นล่ะ มันว่าเป็นเงินของมัน นี่มันว่าเงินออกมาจากกระเป๋า เงินออกมาจากที่พ่อแม่เก็บไว้ แต่ของเรานี่เงินเราได้มาจากไหน? เงินมันต่างกัน เห็นไหม

ความรับรู้ การอธิบายธรรมะมันต่างกันตรงนี้ ต่างกันตรงที่คนที่อาบเหงื่อต่างน้ำมา มันรู้นะว่าเราทุกข์เรายาก เรามีขั้นตอน มีความเป็นไปอย่างไร จิตมันมีกระบวนการของมันอย่างไร กับที่ไปหยิบไปฉวยมา ไปหยิบไปฉวยมาก็เงินเหมือนกัน นี้เราผู้รับต่อไป เห็นไหม นี่พูดถึงผู้สอนนะ พระต่างๆ ที่เขาแสดงธรรม ไอ้ผู้ที่เราไปรับ พอรับจากมือมันก็แบงก์เหมือนกัน

แบงก์ของพ่อแม่ แบงก์ของครูบาอาจารย์ที่เขาแสวงหามา เขาแสวงหามาด้วยตัวของท่านเอง แต่แบงก์อีกแบงก์หนึ่งเขาหยิบฉกฉวยมา มันต่างกันมาก คุณค่าก็ต่างกัน ความเห็นก็ต่างกัน แล้วสายบุญสายกรรมก็ต่างกันด้วย สายบุญสายกรรมหมายถึงของที่มันมีคุณค่า คนที่รับไปมันจะเป็นประโยชน์กับดวงใจดวงนั้น แต่คนที่ไม่เห็นคุณค่ามันเป็นโทษนะ

ดูสิ ในพุทธศาสนาเขาว่าไม่เชื่อศาสนาพุทธจะเป็นบาปๆ เห็นไหม.. ไม่เป็นบาป ใครไม่เชื่อศาสนาพุทธไม่เป็นบาปหรอก แต่ผู้ที่ศรัทธาในพุทธศาสนา แล้วติเตียนพระอริยเจ้า เวลาพระอริยเจ้าที่เป็นความจริง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม บอกว่า

“อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้านะ”

พระอริยเจ้ารู้ถึงว่าสิ่งที่ควรพูดและไม่ควรพูด สิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นนี่รู้หมดแล้ว ถ้าพูดออกไปแล้ว.. สิ่งที่รู้จริง ถ้าพูดออกไปแล้วไม่เป็นประโยชน์พระพุทธเจ้าบอกอย่าพูด สิ่งที่พูดออกไปแล้วมันเป็นประโยชน์ถึงควรพูด สิ่งที่ไม่จริง รู้ไม่จริงก็ไม่ควรพูด ถ้าพูดแล้วมันไม่เป็นประโยชน์ รู้ว่าควรหรือไม่ควรด้วย

ควรหรือไม่ควรนี่ข้างนอกนะ แต่หัวใจมันรู้ของมัน มันนิ่งได้ มันหยุดของมันได้ ถ้ามันหยุดของมันได้ เห็นไหม “อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า” แต่เราเห็นคนนิ่งเฉยๆ เราว่าคนนั้นพวกคนโง่ คนไหนโป้ปดมดเท็จ พูดฉ้อฉล โอ้ย.. คนนั้นฉลาด นี่เราไปมองกันตรงนั้น เพราะคนนั้นฉลาดมันกลิ้งไปตามกระแสโลก

สิ่งที่กลิ้งไปตามกระแสโลก เห็นไหม นี่สิ่งนี้ที่มันเกิดขึ้นมาในหัวใจมันเกิดมาจากไหน? เพราะสิ่งในหัวใจมันมีของมันอยู่นะ ที่มันมีของมันอยู่นี่เราไม่เข้าใจ เราไม่รู้ เราถึงว่าสิ่งที่ออกมานั้นมันเหมือนกัน มันเหมือนกันจากสมมุติแต่มันไม่เหมือนกันในธรรม พอมันไม่เหมือนกันในธรรมมันก็เป็นไปไม่ได้

การฉ้อฉล นี่ฉ้อฉลในธรรม ฉ้อฉลในธรรมนะแล้วมันรู้ สิ่งนี้เรารับประกันได้ว่ารู้ เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้มันเป็นอนิจจัง

“สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา”

สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ต้องดับเป็นธรรมดา ความโกหก ความมดเท็จ สิ่งที่ว่าขอเงินพ่อแม่มา หรือฉกฉวย ไปฉกกระเป๋าของใครมาก็แล้วแต่ มันใช้ไปมันต้องหมด มันอยู่กับเราไม่ได้หรอก พอหมดไปแล้วจะทุกข์ยากมาก นี่แล้วสายบุญสายกรรม เห็นไหม ไปติเตียนพระอริยเจ้า นี่ชาวพุทธว่าถ้าไม่เชื่อศาสนาเป็นบาปเป็นกรรม

ไม่! ไม่เป็นบาปเป็นกรรมหรอก แต่ถ้าเชื่อในศาสนาแล้ว เราเชื่อในศาสนา แล้วเราเห็นผิด แล้วเราไปติเตียน การติเตียนมันต้องหาเหตุหาผล การหาเหตุหาผล เราบอกพระองค์นี้ขี้โม้ พระองค์นี้พูดเกินความจริง นี่ไอ้การติเตียนอันนั้น ถ้าเป็นพระอริยเจ้ามันถึงเป็นบาปเป็นกรรม แล้วถ้าเราไม่เห็นภัยต่อไปเราจะติเตียน เราจะหาข้อมูลในเชิงลบ หาข้อมูลตรงข้ามไง ตรงข้ามเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนไว้ “กาลามสูตร” อย่าเพิ่งเชื่อ ให้พิสูจน์ก่อน

นี่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา เราจะบอกว่าชาวพุทธจะบอกเลยศาสนาพุทธนี่ยุ่งยากมาก ศาสนาอื่นทำอะไรก็สะดวกสบาย คำว่าสะดวกสบายนั้นมันศาสนาผีนะ ถือผีคืออ้อนวอนขอ อธิษฐานตั้งใจขอ แต่ของเรานี่ศาสนาเราก็อ้อนวอนขอเหมือนกัน อธิษฐานบารมี ขอหมายถึงว่าเรามีเป้าหมาย เราขอแล้วเราประพฤติปฏิบัติ ในการสิ้นกิเลสมันเป็นการขอเอาไม่ได้ เราจะต้องประพฤติปฏิบัติ

การประพฤติปฏิบัติ คือของในร่างกายเรา หรือสิ่งของของเรา เราต้องทำความสะอาดของเราเอง แล้วยิ่งในหัวใจ นี่มันอยู่ในหัวใจของเรา เวลาสุขเราอยากสุขของเราเอง เวลาทุกข์เราไม่ต้องการของเรา เราต้องแก้ไขของเรานะ พุทธศาสนาสอนถึงการเอาชนะตนเอง การชนะตนเองสำคัญที่สุด แต่การชนะตนเองนี่ ชนะตนเองแล้วเป็นที่พึ่งของหมู่คณะ เป็นที่พึ่งของบริษัท ๔

การว่าเป็นที่พึ่ง เห็นไหม ผู้ที่กล้าหาญ ผู้ที่มีสัจจะความจริง การว่าเป็นที่พึ่งมันต้องเป็นผู้นำ การเป็นผู้นำมันต้องมีแรงเสียดสีเป็นธรรมดา ถ้าแรงเสียดสีนี่เราจะพาหมู่คณะไปทางไหน? การว่าพาหมู่คณะไปทางไหน โคนำฝูงถ้าฉลาด จะพาฝูงโคนั้นขึ้นฝั่ง ถ้าโคนำฝูงนั้นไม่ฉลาด พาฝูงโคนั้นลงไปในวังน้ำวนนะ วังน้ำวนในชาติปัจจุบัน ตายไปแล้วจะไปเจอเหตุการณ์ข้างหน้าอีกมากมายมหาศาลเลย เพราะกรรมดี กรรมชั่ว.. กรรมดีมันส่งไปในทางที่ดี กรรมชั่วมันส่งผลให้ใจนั้นไปทางชั่ว

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุผล ศาสนาแห่งความเป็นจริง เราทำคุณงามความดี จิตใจมันจะเบา มันจะลอยขึ้น มันจะสูงขึ้น ทำแต่ความติฉินนินทา ทำแต่ความอาฆาตมาดร้ายนะ จิตใจนี่มันจะต่ำ มันจะพาจิตใจนี้ให้ตกนรกอเวจี เห็นไหม นั่นมันเป็นความจริงของมันโดยธรรมชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเกิดหรือไม่เกิด ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วเป็นธรรมดา แต่ไม่มีใครรู้ว่าวิธีการทำดีทำอย่างไร?

ทำดีอย่างหยาบๆ นี่เสียสละทาน เห็นไหม เสียสละทาน การฟังธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา.. ในการปฏิบัติ ในการบังคับตนเอง ในความเพียรชอบ ในการบังคับจิตใจของตัวเอง แล้วในการชำระล้าง นี่มรรคญาณ อริยสัจอันนี้ใครเป็นคนรื้อค้นมา นี่ว่าธรรมะมีอยู่ ธรรมะมีอยู่ ธรรมะสำเร็จรูปมีอยู่ เห็นไหม ข้าวมันเกิดเอง ข้าวป่ามันเกิดเอง แต่เราเป็นมนุษย์ เราฉลาด เราเอาข้าวป่ามาปลูกเป็นข้าวนา เราแสวงหาของเรามาเอง จากข้าวป่าเราพัฒนาของเราขึ้นมา

นี้ก็เหมือนกัน ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมคือข้าวป่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมในใจ วิธีการ เห็นไหม ธรรมะนี่เอาสัจธรรม เอาธรรมะที่มีอยู่โดยดั้งเดิมมาสถิตในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยการประพฤติปฏิบัติ โดยมรรคญาณในหัวใจดวงนั้น ทำเองทำจนสำเร็จลุล่วงแล้ว ถึงเอาธรรมอันนี้มาเผยแผ่ มาบอกวิธีการในการกระทำของเรา เห็นไหม ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีการกระทำ เราจะเข้าถึงธรรมนี้ได้อย่างไร?

นี่พุทธศาสนาไง มันถึงต้องมีพื้นฐาน มันถึงต้องมีความมั่นคง ความมั่นคงในอริยสัจ ความมั่นคงในความจริง เราถึงต้องจริง ต้องมีสัจจะ ต้องมีความจริง แล้วถ้ามันมีสัจจะ เห็นไหม คนมีสัจจะ คนมีความจริงจะเข้าถึงธรรม แล้วคนโลเล คนฉ้อฉล มันจะเข้าถึงธรรม มันจะเอาธรรมมาจากไหน? มันก็อธรรมไง มันก็เป็นนิพพานของมหายาน เห็นไหม

มหายานที่ดีก็มีนะ นิพพานของมหายานไง บอกว่านิพพานแล้วมาเกิดอีกก็ได้ นิพพานจะไม่ตายก็ได้ นิพพานเกิดอีกได้ แล้วก็ว่าลัดสั้นๆ ของเขา นี่ฉ้อฉล กิเลสมันฉ้อฉลอยู่แล้ว เอาธรรมะก็ไปล้วงเอาจากกระเป๋าของพระไตรปิฎก ล้วงกระเป๋ามาแล้วก็มาอวดมาอ้างกัน มันก็เลยจะฉ้อฉลไง

นิพพานมาเกิดอีกก็ได้ นิพพานจะฉ้อฉล จะโกงกินอย่างไรก็ได้ นั้นมันเป็นความเห็นของเขา เราอย่าเชื่อ เราต้องเชื่อสัจจะความจริง ถามใจตัวเองว่าต้องการอะไร? แล้วถ้าต้องการอะไรแล้วเราต้องมีเป้าหมายแล้วเข้าสู่เป้าหมายอันนั้นให้ได้ เราอยากได้ แต่เราอยากสุข อยากสบาย มันขัดแย้งกัน มันเป็นเรื่องของกิเลส เราอยากได้ดี แต่เราทำในสิ่งที่ไม่ดี แล้วความดีกับความไม่ดีจะเข้ากันได้อย่างไร? ตั้งใจทำของเราให้ได้นะ เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง